เที่ยวทะเล ระวังร่องน้ำดูด เสียชีวิตแล้วหลายราย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
กลายเป็นข่าวให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์อยู่เป็นประจำ สำหรับการเสียชีวิตจากการไปเล่นน้ำทะเล ที่บริเวณหาดแม่รำพึง จ.ระยอง หรือกระทั่งหาดอื่นๆ ในทะเลไทย ทั้งๆ ที่ผู้เล่นไม่ได้ว่ายออกไกลจากฝั่งเท่าไรนัก ล่าสุดก็เพิ่งมีเด็กนักเรียนจาก จ.สมุทรปราการ เสียชีวิตไปอีก 1 รายนั้น ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไม น้ำทะเลบางแห่ง ถึงได้ดูดคนเล่นน้ำออกไปสู่ทะเลลึก! มันเป็นอาถรรพ์ หรือมีเหตุผลอื่นๆ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สมเกียรติ ขอเกียรติวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานสมุทรศาสตร์และสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง บอกว่า ปกติชายหาดแต่ละพื้นที่จะมีลักษณะทางธรณีวิทยาแตกต่างกัน ทำให้บางฤดูไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ โดยฝั่งอ่าวไทยในช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้โอกาสที่จะได้รับอันตรายจากคลื่นลมแรงมีมาก เพราะชายฝั่งส่วนใหญ่มีลักษณะเปิด เมื่อมีคลื่นเคลื่อนตัวเข้าหาฝั่งที่มีลักษณะตรงหรือโค้ง บวกกับความแรงที่ผิวน้ำ และลักษณะความลึกที่ไม่เท่ากัน โอกาสที่จะเกิดการเบี่ยงเบนของคลื่นของฝั่งซ้ายและขวาที่ปะทะกันทำให้เกิดแรงดันน้ำดูดลงไปใต้น้ำ โดยคนที่อยู่ในตำแหน่งพอดีจะถูกคลื่นดูดลงไปที่ก้นอ่าว
"เวลาที่น้ำดูด ถ้าเป็นคนว่ายน้ำแข็งจะพยายามว่ายกลับมาจุดเดิม แต่มักจะถูกน้ำพาไหลออกไปเรื่อยๆ วิธีการช่วยเหลือเบื้องต้นคือ ต้องว่ายเลี่ยง น้ำดูดไม่ใช่มีแต่ในอ่าวไทย แต่ฝั่งอันดามัน เช่น หาดกะตะ กะรน ป่าตอง และสุรินทร์ จ.ภูเก็ต ก็มีคนเสียชีวิตจากน้ำดูดในช่วงมรสุมเช่นกัน" ดร.สมเกียรติ กล่าว
ด้านนายเฉลิมศักดิ์ วานิชสมบัติ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางอุทยานฯ มีการติดป้ายเตือนนักท่องเที่ยว และติดธงบริเวณหาดแม่รำพึงให้ระวังอันตรายจากการเล่นน้ำในบริเวณดังกล่าวแล้ว และมีรถตระเวนเตือนนักท่องเที่ยวเป็นประจำ ซึ่งหาดดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยว เพราะเป็นหาดที่มีคลื่นแรง และลักษณะของหาดลาดเทลงไปในทะเล หากเล่นน้ำโดยไม่ระมัดระวังก็อาจจะเกิดอันตรายได้
อย่างไรก็ตาม ลักษณะดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกว่า "rip current หรือ ริปเคอร์เร้นท์" เป็นกระแสน้ำที่พัดในแนวตั้งฉากกับชายฝั่งออกสู่ทะเล โดยเกิดจากการที่น้ำทะเลถูกอุปสรรคใต้น้ำปิดกั้นมิให้ไหลกลับคืนท้องทะเลได้สะดวกนอกจากบางช่องทางเท่านั้น หรือเกิดจากการที่น้ำไหลพัดสอบมาปะทะแล้วไหลย้อนกลับ ออกไปในทะเล อุปสรรคเช่น แนวหิน แนวปะการัง หรือสันทรายที่อยูใต้น้ำแนวหินหรือแนวปะการังมักจะอยู่คงที่ และเจ้าหน้าที่สามารถบอกเตือนกันได้ แต่แนวสันทรายมักจะมีการเคลื่อนพังหรือก่อตัวขึ้นใหม่ ยากแก่การระวังป้องกัน
นอกจากนี้ "rip current" ยังเกี่ยวพันกับฤดูกาล และสภาพอากาศหลังฝนตกหนักหรือในช่วงวันที่คลื่นน้ำทะเลปั่นป่วน มักจะมีผลให้ทรายตามชายหาดพังไหลย้อนลงไปตกตะกอนนอกแนวขอบชายฝั่งทะเล ซึ่งทรายเหล่านี้เองเป็นสันทรายใต้น้ำที่ขัดขวางการไหลย้อนกลับของน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าฝั่งด้วยอิทธิพลของคลื่น น้ำทะเลจำนวนมากถูกบังคับให้ไหลกลับออกไปในช่องเปิดของของสันทราย และกลายเป็น RipCurrent ที่ทรงอานุภาพพร้อมจะปลิดชีพของคนที่ไม่รู้จักมัน เพราะฉะนั้น หลังฝนตกหนัก หรือ หลังจากวันที่ทะเลปั่นป่วน จงงดลงเล่นน้ำทะเลสักสองสามวัน เพราะหลังจากนั้นสันทรายทะเลที่เกิดขึ้นจะพังและทราย ก็จะถูกกอบขึ้นมากองบนหาดทรายตามเดิม
เมื่อคลื่นม้วนตัวกลับลงทะเลหลังจากซัดเข้ากระทบฝั่ง สันและเนินทรายต่างๆ ที่วางตัวเรียงอยู่ใต้พื้นน้ำจะเป็นอุปสรรคขวางไม่ให้น้ำไหลคืนลงทะเลได้สะดวก ทำให้น้ำจะไปไหลรวมกันย้อนลงทะเลที่ช่องรอยต่อระหว่างสันทราย เกิดเป็นกระแสดูดออกจากฝั่งที่เรียกว่า Rip Current กระแสน้ำที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมีความเร็วได้ตั้งแต่ 0.5-2.5 เมตร/วินาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความแรงของคลื่น และสภาพพื้นทะเลใต้ผิวน้ำ
อันตรายของ Rip Current จะเกิดกับคนที่ไม่รู้วิธีรับมือกับมันเมื่อตกเข้าไปในกระแสของมัน เพราะธรรมชาติของคนเรามักจะว่ายน้ำสวนทวนกระแสของ Rip Current ซึ่งก็มักจะแพ้และหมดแรงต้านทานในที่สุด ซึ่งริปเคอร์เร้นท์สามารถเกิดขึ้นได้เกือบทุกหาด โดยขึ้นอยู่ที่ความแรงของกระแสน้ำเป็นหลัก
วิธีแก้ไขเมื่อตัวเองอยู่ในริปเคอร์เร้นท์ คือ อย่าพยายามว่ายเข้าฝั่งทันที เพราะคุณจะไม่สามารถสู้แรงน้ำได้ ทางที่แนะนำคือ ต้องออกมาจากมันด้วยการว่ายน้ำทางขวางกับกระแส หรือให้ง่าย ๆ คือ ว่ายขนานกับชายฝั่งจนแน่ใจว่าเราไม่ถูกดูดออกไปแล้ว จึงค่อยว่ายเข้าหาฝั่งอีกที
อย่าเล่นน้ำทะเลขณะลมแรง
อืม… Rip Current นี้ถือเป็นปรากฎการณ์ที่น่ากลัวไม่ใช่เล่นเลย ดังนั้น หาก "ทะเล" เป็นช้อยส์ต่อไปในการเดินทางไปพักผ่อนของเพื่อนๆ ล่ะก็ อย่าลืมเช็คข้อมูลกันหน่อย ที่สำคัญต้องสังเกตป้ายเตือนบริเวณหาดก่อนลงเล่นน้ำ ไม่งั้นทริปดีๆ อาจเปลี่ยนเป็นเรื่องน่าเศร้าได้นะ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
กลายเป็นข่าวให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์อยู่เป็นประจำ สำหรับการเสียชีวิตจากการไปเล่นน้ำทะเล ที่บริเวณหาดแม่รำพึง จ.ระยอง หรือกระทั่งหาดอื่นๆ ในทะเลไทย ทั้งๆ ที่ผู้เล่นไม่ได้ว่ายออกไกลจากฝั่งเท่าไรนัก ล่าสุดก็เพิ่งมีเด็กนักเรียนจาก จ.สมุทรปราการ เสียชีวิตไปอีก 1 รายนั้น ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไม น้ำทะเลบางแห่ง ถึงได้ดูดคนเล่นน้ำออกไปสู่ทะเลลึก! มันเป็นอาถรรพ์ หรือมีเหตุผลอื่นๆ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สมเกียรติ ขอเกียรติวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานสมุทรศาสตร์และสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง บอกว่า ปกติชายหาดแต่ละพื้นที่จะมีลักษณะทางธรณีวิทยาแตกต่างกัน ทำให้บางฤดูไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ โดยฝั่งอ่าวไทยในช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้โอกาสที่จะได้รับอันตรายจากคลื่นลมแรงมีมาก เพราะชายฝั่งส่วนใหญ่มีลักษณะเปิด เมื่อมีคลื่นเคลื่อนตัวเข้าหาฝั่งที่มีลักษณะตรงหรือโค้ง บวกกับความแรงที่ผิวน้ำ และลักษณะความลึกที่ไม่เท่ากัน โอกาสที่จะเกิดการเบี่ยงเบนของคลื่นของฝั่งซ้ายและขวาที่ปะทะกันทำให้เกิดแรงดันน้ำดูดลงไปใต้น้ำ โดยคนที่อยู่ในตำแหน่งพอดีจะถูกคลื่นดูดลงไปที่ก้นอ่าว
"เวลาที่น้ำดูด ถ้าเป็นคนว่ายน้ำแข็งจะพยายามว่ายกลับมาจุดเดิม แต่มักจะถูกน้ำพาไหลออกไปเรื่อยๆ วิธีการช่วยเหลือเบื้องต้นคือ ต้องว่ายเลี่ยง น้ำดูดไม่ใช่มีแต่ในอ่าวไทย แต่ฝั่งอันดามัน เช่น หาดกะตะ กะรน ป่าตอง และสุรินทร์ จ.ภูเก็ต ก็มีคนเสียชีวิตจากน้ำดูดในช่วงมรสุมเช่นกัน" ดร.สมเกียรติ กล่าว
ด้านนายเฉลิมศักดิ์ วานิชสมบัติ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางอุทยานฯ มีการติดป้ายเตือนนักท่องเที่ยว และติดธงบริเวณหาดแม่รำพึงให้ระวังอันตรายจากการเล่นน้ำในบริเวณดังกล่าวแล้ว และมีรถตระเวนเตือนนักท่องเที่ยวเป็นประจำ ซึ่งหาดดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยว เพราะเป็นหาดที่มีคลื่นแรง และลักษณะของหาดลาดเทลงไปในทะเล หากเล่นน้ำโดยไม่ระมัดระวังก็อาจจะเกิดอันตรายได้
อย่างไรก็ตาม ลักษณะดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกว่า "rip current หรือ ริปเคอร์เร้นท์" เป็นกระแสน้ำที่พัดในแนวตั้งฉากกับชายฝั่งออกสู่ทะเล โดยเกิดจากการที่น้ำทะเลถูกอุปสรรคใต้น้ำปิดกั้นมิให้ไหลกลับคืนท้องทะเลได้สะดวกนอกจากบางช่องทางเท่านั้น หรือเกิดจากการที่น้ำไหลพัดสอบมาปะทะแล้วไหลย้อนกลับ ออกไปในทะเล อุปสรรคเช่น แนวหิน แนวปะการัง หรือสันทรายที่อยูใต้น้ำแนวหินหรือแนวปะการังมักจะอยู่คงที่ และเจ้าหน้าที่สามารถบอกเตือนกันได้ แต่แนวสันทรายมักจะมีการเคลื่อนพังหรือก่อตัวขึ้นใหม่ ยากแก่การระวังป้องกัน
นอกจากนี้ "rip current" ยังเกี่ยวพันกับฤดูกาล และสภาพอากาศหลังฝนตกหนักหรือในช่วงวันที่คลื่นน้ำทะเลปั่นป่วน มักจะมีผลให้ทรายตามชายหาดพังไหลย้อนลงไปตกตะกอนนอกแนวขอบชายฝั่งทะเล ซึ่งทรายเหล่านี้เองเป็นสันทรายใต้น้ำที่ขัดขวางการไหลย้อนกลับของน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าฝั่งด้วยอิทธิพลของคลื่น น้ำทะเลจำนวนมากถูกบังคับให้ไหลกลับออกไปในช่องเปิดของของสันทราย และกลายเป็น RipCurrent ที่ทรงอานุภาพพร้อมจะปลิดชีพของคนที่ไม่รู้จักมัน เพราะฉะนั้น หลังฝนตกหนัก หรือ หลังจากวันที่ทะเลปั่นป่วน จงงดลงเล่นน้ำทะเลสักสองสามวัน เพราะหลังจากนั้นสันทรายทะเลที่เกิดขึ้นจะพังและทราย ก็จะถูกกอบขึ้นมากองบนหาดทรายตามเดิม
เมื่อคลื่นม้วนตัวกลับลงทะเลหลังจากซัดเข้ากระทบฝั่ง สันและเนินทรายต่างๆ ที่วางตัวเรียงอยู่ใต้พื้นน้ำจะเป็นอุปสรรคขวางไม่ให้น้ำไหลคืนลงทะเลได้สะดวก ทำให้น้ำจะไปไหลรวมกันย้อนลงทะเลที่ช่องรอยต่อระหว่างสันทราย เกิดเป็นกระแสดูดออกจากฝั่งที่เรียกว่า Rip Current กระแสน้ำที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมีความเร็วได้ตั้งแต่ 0.5-2.5 เมตร/วินาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความแรงของคลื่น และสภาพพื้นทะเลใต้ผิวน้ำ
อันตรายของ Rip Current จะเกิดกับคนที่ไม่รู้วิธีรับมือกับมันเมื่อตกเข้าไปในกระแสของมัน เพราะธรรมชาติของคนเรามักจะว่ายน้ำสวนทวนกระแสของ Rip Current ซึ่งก็มักจะแพ้และหมดแรงต้านทานในที่สุด ซึ่งริปเคอร์เร้นท์สามารถเกิดขึ้นได้เกือบทุกหาด โดยขึ้นอยู่ที่ความแรงของกระแสน้ำเป็นหลัก
วิธีแก้ไขเมื่อตัวเองอยู่ในริปเคอร์เร้นท์ คือ อย่าพยายามว่ายเข้าฝั่งทันที เพราะคุณจะไม่สามารถสู้แรงน้ำได้ ทางที่แนะนำคือ ต้องออกมาจากมันด้วยการว่ายน้ำทางขวางกับกระแส หรือให้ง่าย ๆ คือ ว่ายขนานกับชายฝั่งจนแน่ใจว่าเราไม่ถูกดูดออกไปแล้ว จึงค่อยว่ายเข้าหาฝั่งอีกที
อย่าเล่นน้ำทะเลขณะลมแรง
อืม… Rip Current นี้ถือเป็นปรากฎการณ์ที่น่ากลัวไม่ใช่เล่นเลย ดังนั้น หาก "ทะเล" เป็นช้อยส์ต่อไปในการเดินทางไปพักผ่อนของเพื่อนๆ ล่ะก็ อย่าลืมเช็คข้อมูลกันหน่อย ที่สำคัญต้องสังเกตป้ายเตือนบริเวณหาดก่อนลงเล่นน้ำ ไม่งั้นทริปดีๆ อาจเปลี่ยนเป็นเรื่องน่าเศร้าได้นะ