สผ.ประกาศเกาะ′สมุย-พะงัน′เป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายนพดล ธิยะใจ รองเลขาธิการสำนักงานนโยบานและแผนทรัพยากรธรรมชาติแล ะสิ่งแวดล้อม (สผ.) พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ บุญดาว ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อมชุมชนและพื้นที่เฉพาะ ร่วมแถลงข่าวการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ ่งแวดล้อม ในพื้นที่เกาะสมุย และเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี
นายนพดล กล่าวว่า จ.สุราษฎร์ธานี เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางทะเลที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศและต่างชาติ โดยเฉพาะเกาะต่างๆ ในอ.เกาะสมุย อ.เกาะพะงัน และเกาะเต่า ที่มีฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายม ีความเชื่อมโยงทั้งระบบนิเวศบนบกและทางทะเล จึงเป็นปัจจัยให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ในด้านต่างๆ จนกระทั่งเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา ทั้งการใช้ประโยชน์ที่ดิน มีการรุกล้ำพื้นที่ต้นน้ำ ป่าพรุ ป่าชายเลน พื้นที่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่เชิงผามากขึ้น แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายการควบคุมการพัฒนาเมือง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
“เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น กระทรวงทรัพยากรฯ จึงกำหนดใช้มาตรา 45 ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่อ.เกาะสมุย ได้แก่ ต.ตลิ่งงาม ต.บ่อผุด ต.มะเร็ต ต.แม่น้ำ ต.หน้าเมือง ต.อ่างทอง ต.ลิปะน้อย และพื้นที่อ.เกาะพะงัน ได้แก่ ต.เกาะพะงัน ต.บ้านใต้ ต.เกาะเต่า ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกาะจำนวน 42 เกาะ และพื้นที่น่านน้ำบางส่วนในจ.สุราษฎร์ธานี โดยประกาศบังคับเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไปเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยเมื่อเข้าปีที่ 3 จะมีการประเมินสถานการณ์สิ่งแวดล้อม ว่าการประกาศมาตราดังกล่าว สามารถทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นหรือไม่”
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวนี้ไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ซึ่งสิ่งก่อสร้างใดที่สร้างก่อนการประกาศมาตรา 45 ถือว่าไม่มีความผิด แต่หากมีการก่อสร้างใดๆ เพิ่มเติมจะต้องผ่านมาตรการดังกล่าวนี้ และผู้ประกอบการใดที่ไม่ปฏิบัติตาม ส่วนท้องถิ่นสามารถใช้กฎหมายที่มีอยู่ อาทิ กฎหมายผังเมือง กฎหมายควบคุมอาคาร ดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายที่มีอยู่ แต่กำหนดมาตรการให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
“ก่อนประกาศมาตรา 45 เรามีการทำประชาวิจารณ์สอบถามความคิดเห็นของทุกภาคส่ วน เช่น กลุ่มเอ็นจีโอ ผู้ประกอบการบ้านพัก รีสอร์ท รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ มาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งใช้เวลาเกือบ 10 ปี เพื่อกำหนดมาตรการดังกล่าวเพื่อไม่ให้มีปัญหาความขัด แย้งในพื้นที่ที่ประกาศบังคับใช้ จากนี้ สผ.จะลงพื้นที่เพื่อชี้แจงมาตรา 45 ให้ความรู้ความเข้าใจในด้านหลักวิชาการกับทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง ส่วนการบุกรุกพื้นที่ต่างๆ จะเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”
ที่มา มติชน
นายนพดล กล่าวว่า จ.สุราษฎร์ธานี เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางทะเลที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศและต่างชาติ โดยเฉพาะเกาะต่างๆ ในอ.เกาะสมุย อ.เกาะพะงัน และเกาะเต่า ที่มีฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายม ีความเชื่อมโยงทั้งระบบนิเวศบนบกและทางทะเล จึงเป็นปัจจัยให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ในด้านต่างๆ จนกระทั่งเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา ทั้งการใช้ประโยชน์ที่ดิน มีการรุกล้ำพื้นที่ต้นน้ำ ป่าพรุ ป่าชายเลน พื้นที่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่เชิงผามากขึ้น แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายการควบคุมการพัฒนาเมือง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
“เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น กระทรวงทรัพยากรฯ จึงกำหนดใช้มาตรา 45 ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่อ.เกาะสมุย ได้แก่ ต.ตลิ่งงาม ต.บ่อผุด ต.มะเร็ต ต.แม่น้ำ ต.หน้าเมือง ต.อ่างทอง ต.ลิปะน้อย และพื้นที่อ.เกาะพะงัน ได้แก่ ต.เกาะพะงัน ต.บ้านใต้ ต.เกาะเต่า ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกาะจำนวน 42 เกาะ และพื้นที่น่านน้ำบางส่วนในจ.สุราษฎร์ธานี โดยประกาศบังคับเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไปเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยเมื่อเข้าปีที่ 3 จะมีการประเมินสถานการณ์สิ่งแวดล้อม ว่าการประกาศมาตราดังกล่าว สามารถทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นหรือไม่”
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวนี้ไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ซึ่งสิ่งก่อสร้างใดที่สร้างก่อนการประกาศมาตรา 45 ถือว่าไม่มีความผิด แต่หากมีการก่อสร้างใดๆ เพิ่มเติมจะต้องผ่านมาตรการดังกล่าวนี้ และผู้ประกอบการใดที่ไม่ปฏิบัติตาม ส่วนท้องถิ่นสามารถใช้กฎหมายที่มีอยู่ อาทิ กฎหมายผังเมือง กฎหมายควบคุมอาคาร ดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายที่มีอยู่ แต่กำหนดมาตรการให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
“ก่อนประกาศมาตรา 45 เรามีการทำประชาวิจารณ์สอบถามความคิดเห็นของทุกภาคส่ วน เช่น กลุ่มเอ็นจีโอ ผู้ประกอบการบ้านพัก รีสอร์ท รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ มาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งใช้เวลาเกือบ 10 ปี เพื่อกำหนดมาตรการดังกล่าวเพื่อไม่ให้มีปัญหาความขัด แย้งในพื้นที่ที่ประกาศบังคับใช้ จากนี้ สผ.จะลงพื้นที่เพื่อชี้แจงมาตรา 45 ให้ความรู้ความเข้าใจในด้านหลักวิชาการกับทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง ส่วนการบุกรุกพื้นที่ต่างๆ จะเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”
ที่มา มติชน