ทะเลจังหวัดสตูล
ถ้ำภูผาเพชร
ถ้ำใหญ่กลางขุนเขาติดอันดับโลกแห่งนี้ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขามากกว่า 3,000 ปี อยู่ในพื้นที่อำเภอมะนัง เป็นถ้ำที่อลังการมีขนาดกว้างขวางใหญ่โตขนาดเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ หรือ 20,000 ตารางเมตร เดิมทีเรียกว่า ถ้ำลอด หรือ ถ้ำเพชร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นภูผาเพชร เพราะความวิจิตรตระการตาไปด้วยหินงอกหินย้อยที่ส่องแสงระยิบระยับยามต้องแสง ซึ่งห้องในโถงใหญ่แห่งนี้มีมากกว่า 20 ห้อง แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทุกห้องโถงมีความแตกต่างกัน เช่น หินงอกที่เป็นเสาค้ำสุริยัน เสาหินปูนขนาดมหึมาค้ำเพดานถ้ำรอบทิศ ส่วนที่โคนเสาหินงอกนี้จะเป็นเกล็ดหินคล้ายแผ่นปะการังใต้ท้องทะเล รวมทั้งมีผ้าม่านเป็นริ้ว ๆ แปลกตา บางจุด จะมีหยดน้ำทิพย์จากเพดานถ้ำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความบริสุทธิ์ บางคนนำมาดื่มหรือชโลมร่างกาย ถือว่าเป็นสิริมงคลและเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
• ไฮไลต์ของถ้ำภูผาเพชรแห่งนี้คือ ห้องแสงมรกต ซึ่งเมื่อเดินลึกเข้าไปด้านในสุดจะเห็นเพดานถ้ำโหว่มีแสงส่องลงมากระทบกับหินสีเขียวก้อนใหญ่ตรงใจกลางห้อง กลายเป็นลานแสงมรกตแปลกตา และสุดท้ายปลายทางเป็นห้องที่มีความมืด 100 เปอร์เซ็นต์ที่ห้องพญานาค สาเหตุที่เรียกว่าห้องพญานาคก็ด้วยเหตุผลที่ว่า กว่า 3,000 ปีมาแล้ว ที่ห้องแห่งนี้ถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทำให้เกิดตะกอนหินปูนจับตัวกันเป็นสันนูนโดยรอบ ลักษณะคล้ายหลังพญานาคจึงตั้งชื่อว่า “ถ้ำพญานาค”
• ถ้ำภูผาเพชร ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 9 บ้านควนดินดำ ตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอ 27 กิโลเมตร ไปตามถนนที่ลาดยางตลอดสายจนถึงบริเวณถ้ำตั้งอยู่บนเทือกเขาหินปูน ในเขตของทิวเขานครศรีธรรมราช ซึ่งนิยมเรียกว่า เขาบรรทัด ปากถ้ำหันไปทางทิศตะวันออก ทางขึ้นไม่ค่อยลาดชันนัก ความสูงจากพื้นราบถึงปากถ้ำประมาณ 50 เมตร ใช้เวลาในการเดินทางจากพื้นราบถึงจุดเข้าถ้ำราว 30 นาที
• ชื่อเดิมของถ้ำภูผาเพชร คือ “ถ้ำลอด ถ้ำยาว หรือถ้ำเพชร” เนื่องจากถ้ำมีความยาว ลักษณะคดเคี้ยว แบ่งเป็นหลายตอน ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟ ผนังถ้ำมีประกายแวววาวเหมือนเพชร จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำเพชรก่อน ภายหลังชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า ถ้ำภูผาเพชร• ตามประวัติมีว่า เมื่อปี พ.ศ. 2517 ครอบครัวของนายช่วงและนางแดง รักทองจันทร์ ได้ย้ายเข้ามาอาศัยบริเวณถ้ำยาวเป็นครอบครัวแรก ล่วงมาปีพ.ศ. 2535 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาตั้งสำนักบริเวณถ้ำยาว อยู่ได้หนึ่งปีก็จากไป ก่อนจากไปท่านได้บอกชาวบ้านว่าได้เห็นทางเข้าไปในถ้ำยาว มีถ้ำน้อยใหญ่อีกหลายถ้ำ บางถ้ำมีพื้นที่กว้างขวางสวยงาม กระทั่งปี พ.ศ.2540 นายศักดิ์ชัย บุญคง สมาชิก อบต. ตำบลปาล์มพัฒนาได้ทำการสำรวจร่วมกับทางราชการและราษฏรถ้ำภูผาเพชรจึงได้เปิดโฉมหน้าให้คนทั่วไปได้รู้จักกันทุกวันนี้• พ.ศ. 2541 นักโบราณคดีของสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 10 จังหวัดสงขลา ได้สำรวจบริเวณถ้ำภูผาเพชร โดยความร่วมมือของสภาตำบลปาล์มพัฒนา พบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี ประกอบด้วยกระดูกมนุษย์ยุคโบราณ พบเศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบร่องรอยส่วนก้นภาชนะดินเผา ถูกหินปูนและเปลือกหอยยึดเกาะอยู่ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า บริเวณถ้ำภูผาเพชรเคยเป็นที่อยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว• ถ้ำภูผาเพชรมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ หรือ 20,000 ตารางวา แบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อยประมาณ 20 ห้อง ชื่อเรียกต่างกันออกไป เช่น ห้องปะการัง มีหินงอกหินย้อยคล้ายปะการังในทะเล ห้องเห็ด เต็มไปด้วยรูปดอกเห็ดขนาดต่าง ๆ ห้องม่านเพชร ลักษณะคล้ายผ้าม่านแขวนเป็นหลืบซ้อนกัน ห้องพญานาคเห็นหินงอกต่อตัวกันคล้ายงูใหญ่หรือพญานาค ส่วนห้องสวนมรกตจะมีสีเขียว ส่องแสงระยิบระยับคล้ายสีของมรกต ล้วนเป็นการรังสรรค์ของธรรมชาติโดยแท้• ถ้ำภูผาเพชรจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวบนบกแห่งใหม่ของจังหวัดสตูล การไปมาก็สะดวก มีถนนลาดยางถึงบริเวณปากถ้ำ สภาตำบลปาล์มพัฒนาดำเนินการเร่งรัดปรับปรุงสถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดสตูลขณะนี้
• การเดินทางสู่ภูผาเพชร : สามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ จากจังหวัดสตูลเข้าทางแยกควนกาหลง เข้าสู่อำเภอมะนัง หากเริ่มต้นจากจังหวัดตรังเมื่อเข้าสู่เขตสตูลให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่มะนังเช่นกัน ทั้งนี้จะมีป้ายบอกเป็นระยะๆ และต้องเดินขึ้นบันไดประมาณ 300 ขั้น (เท่านั้นเอง) ส่วนภายในถ้ำมีบันไดไม้เดินได้สะดวก
• เตรียมตัวเดินทาง : นักท่องเที่ยวควรนำไฟฉายติดตัวไปเพื่อส่องดูความงามภายในถ้ำ หรือสามารถเช่าจากชาวบ้านบริเวณทางเข้าถ้ำ และควรสวมใส่รองเท้าที่เดินสบาย
ขอบคุณข้อมูล http://thailandopenworld.blogspot.com
ถ้ำใหญ่กลางขุนเขาติดอันดับโลกแห่งนี้ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขามากกว่า 3,000 ปี อยู่ในพื้นที่อำเภอมะนัง เป็นถ้ำที่อลังการมีขนาดกว้างขวางใหญ่โตขนาดเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ หรือ 20,000 ตารางเมตร เดิมทีเรียกว่า ถ้ำลอด หรือ ถ้ำเพชร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นภูผาเพชร เพราะความวิจิตรตระการตาไปด้วยหินงอกหินย้อยที่ส่องแสงระยิบระยับยามต้องแสง ซึ่งห้องในโถงใหญ่แห่งนี้มีมากกว่า 20 ห้อง แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทุกห้องโถงมีความแตกต่างกัน เช่น หินงอกที่เป็นเสาค้ำสุริยัน เสาหินปูนขนาดมหึมาค้ำเพดานถ้ำรอบทิศ ส่วนที่โคนเสาหินงอกนี้จะเป็นเกล็ดหินคล้ายแผ่นปะการังใต้ท้องทะเล รวมทั้งมีผ้าม่านเป็นริ้ว ๆ แปลกตา บางจุด จะมีหยดน้ำทิพย์จากเพดานถ้ำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความบริสุทธิ์ บางคนนำมาดื่มหรือชโลมร่างกาย ถือว่าเป็นสิริมงคลและเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
• ไฮไลต์ของถ้ำภูผาเพชรแห่งนี้คือ ห้องแสงมรกต ซึ่งเมื่อเดินลึกเข้าไปด้านในสุดจะเห็นเพดานถ้ำโหว่มีแสงส่องลงมากระทบกับหินสีเขียวก้อนใหญ่ตรงใจกลางห้อง กลายเป็นลานแสงมรกตแปลกตา และสุดท้ายปลายทางเป็นห้องที่มีความมืด 100 เปอร์เซ็นต์ที่ห้องพญานาค สาเหตุที่เรียกว่าห้องพญานาคก็ด้วยเหตุผลที่ว่า กว่า 3,000 ปีมาแล้ว ที่ห้องแห่งนี้ถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทำให้เกิดตะกอนหินปูนจับตัวกันเป็นสันนูนโดยรอบ ลักษณะคล้ายหลังพญานาคจึงตั้งชื่อว่า “ถ้ำพญานาค”
• ถ้ำภูผาเพชร ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 9 บ้านควนดินดำ ตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอ 27 กิโลเมตร ไปตามถนนที่ลาดยางตลอดสายจนถึงบริเวณถ้ำตั้งอยู่บนเทือกเขาหินปูน ในเขตของทิวเขานครศรีธรรมราช ซึ่งนิยมเรียกว่า เขาบรรทัด ปากถ้ำหันไปทางทิศตะวันออก ทางขึ้นไม่ค่อยลาดชันนัก ความสูงจากพื้นราบถึงปากถ้ำประมาณ 50 เมตร ใช้เวลาในการเดินทางจากพื้นราบถึงจุดเข้าถ้ำราว 30 นาที
• ชื่อเดิมของถ้ำภูผาเพชร คือ “ถ้ำลอด ถ้ำยาว หรือถ้ำเพชร” เนื่องจากถ้ำมีความยาว ลักษณะคดเคี้ยว แบ่งเป็นหลายตอน ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟ ผนังถ้ำมีประกายแวววาวเหมือนเพชร จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำเพชรก่อน ภายหลังชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า ถ้ำภูผาเพชร• ตามประวัติมีว่า เมื่อปี พ.ศ. 2517 ครอบครัวของนายช่วงและนางแดง รักทองจันทร์ ได้ย้ายเข้ามาอาศัยบริเวณถ้ำยาวเป็นครอบครัวแรก ล่วงมาปีพ.ศ. 2535 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาตั้งสำนักบริเวณถ้ำยาว อยู่ได้หนึ่งปีก็จากไป ก่อนจากไปท่านได้บอกชาวบ้านว่าได้เห็นทางเข้าไปในถ้ำยาว มีถ้ำน้อยใหญ่อีกหลายถ้ำ บางถ้ำมีพื้นที่กว้างขวางสวยงาม กระทั่งปี พ.ศ.2540 นายศักดิ์ชัย บุญคง สมาชิก อบต. ตำบลปาล์มพัฒนาได้ทำการสำรวจร่วมกับทางราชการและราษฏรถ้ำภูผาเพชรจึงได้เปิดโฉมหน้าให้คนทั่วไปได้รู้จักกันทุกวันนี้• พ.ศ. 2541 นักโบราณคดีของสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 10 จังหวัดสงขลา ได้สำรวจบริเวณถ้ำภูผาเพชร โดยความร่วมมือของสภาตำบลปาล์มพัฒนา พบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี ประกอบด้วยกระดูกมนุษย์ยุคโบราณ พบเศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบร่องรอยส่วนก้นภาชนะดินเผา ถูกหินปูนและเปลือกหอยยึดเกาะอยู่ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า บริเวณถ้ำภูผาเพชรเคยเป็นที่อยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว• ถ้ำภูผาเพชรมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ หรือ 20,000 ตารางวา แบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อยประมาณ 20 ห้อง ชื่อเรียกต่างกันออกไป เช่น ห้องปะการัง มีหินงอกหินย้อยคล้ายปะการังในทะเล ห้องเห็ด เต็มไปด้วยรูปดอกเห็ดขนาดต่าง ๆ ห้องม่านเพชร ลักษณะคล้ายผ้าม่านแขวนเป็นหลืบซ้อนกัน ห้องพญานาคเห็นหินงอกต่อตัวกันคล้ายงูใหญ่หรือพญานาค ส่วนห้องสวนมรกตจะมีสีเขียว ส่องแสงระยิบระยับคล้ายสีของมรกต ล้วนเป็นการรังสรรค์ของธรรมชาติโดยแท้• ถ้ำภูผาเพชรจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวบนบกแห่งใหม่ของจังหวัดสตูล การไปมาก็สะดวก มีถนนลาดยางถึงบริเวณปากถ้ำ สภาตำบลปาล์มพัฒนาดำเนินการเร่งรัดปรับปรุงสถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดสตูลขณะนี้
• การเดินทางสู่ภูผาเพชร : สามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ จากจังหวัดสตูลเข้าทางแยกควนกาหลง เข้าสู่อำเภอมะนัง หากเริ่มต้นจากจังหวัดตรังเมื่อเข้าสู่เขตสตูลให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่มะนังเช่นกัน ทั้งนี้จะมีป้ายบอกเป็นระยะๆ และต้องเดินขึ้นบันไดประมาณ 300 ขั้น (เท่านั้นเอง) ส่วนภายในถ้ำมีบันไดไม้เดินได้สะดวก
• เตรียมตัวเดินทาง : นักท่องเที่ยวควรนำไฟฉายติดตัวไปเพื่อส่องดูความงามภายในถ้ำ หรือสามารถเช่าจากชาวบ้านบริเวณทางเข้าถ้ำ และควรสวมใส่รองเท้าที่เดินสบาย
ขอบคุณข้อมูล http://thailandopenworld.blogspot.com
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และความสวยงามของธรรมชาติ ตั้งอยู่ในทะเลอันดามัน ห่างจากตัวเมืองสตูลประมาณ 40 กิโลเมตร และห่างจากฝั่งที่ท่าเรือปากบารา 22 กิโลเมตร มีอาณาเขตทิศเหนือจดอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ทิศใต้จดทะเลที่เป็นแนวพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย มีพื้นที่ทั้งเกาะและทะเลรวมกันประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยหมู่เกาะใหญ่น้อย จำนวน 51 เกาะ มีเกาะขนาดใหญ่ 7 เกาะ ได้แก่ เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหลีเป๊ะ เกาะกลาง เกาะบาตวง และเกาะบิสสี แบ่งออกเป็น 2 หมู่เกาะใหญ่ คือหมู่.เกาะตะรุเตา และหมู่เกาะอาดัง-ราวี ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2517 และ ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2525 ให้เป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves) ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เมษายน
สถานที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา
เกาะตะรุเตา นับเป็นเกาะใหญ่ที่สุดของอุทยาน มีพื้นที่ 152 ตารางกิโลเมตร สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาที่มีสภาพเป็นป่าดิบชื้นซึ่งยังมีพรรณไม้และสัตว์ป่าที่น่าสนใจจำนวนไม่น้อย และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นป่าชายเลน นอกจากนี้ยังมีอ่าวน้อยใหญ่ที่มีชายหาดสวยงามอยู่หลายแห่ง และในท้องทะเลของเกาะตะรุเตายังมีพันธุ์ปลามากมายหลายชนิดรวมทั้งเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ 4 ชนิด คำว่า “ตะรุเตา” นี้ เพี้ยนมาจาก คำว่า “ตะโละเตรา” ในภาษามลายูแปลว่า มีอ่าวมาก
นอกจากสภาพธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แล้ว เกาะตะรุเตายังมีประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ โดยในปี พ.ศ. 2479 รัฐบาลมีนโยบายให้กรมราชทัณฑ์จัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งนิคมฝึกอาชีพ และเป็นสถานที่กักกันนักโทษ เกาะตะรุเตาซึ่งอยู่ห่างไกลจากฝั่ง เต็มไปด้วยปัจจัยทางธรรมชาติที่เป็นอุปสรรคต่อการหลบหนี ก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่จัดตั้งนิคมดังกล่าว มีการจัดสร้างอาคารที่ทำการ บ้านพักของผู้คุม เรือนนอนนักโทษ และโรงฝึกอาชีพขึ้นที่อ่าวตะโละวาว และอ่าว ตะโละอุดัง ในปี พ.ศ.2481 นักโทษชุดแรกจำนวน 500 คนก็ได้เดินทางมายังตะรุเตา และทยอยเข้ามาอีกเรื่อยๆ จนมีนักโทษเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 3,000 คน และในช่วงปี พ.ศ.2482 รัฐบาลได้ส่งนักโทษการเมือง 70 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนักโทษจากเหตุการณ์กบฏบวรเดชและกบฏนายสิบ มากักบริเวณอยู่ที่อ่าวตะโละอุดัง
ในปี พ.ศ.2484 สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุบัติขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อนิคมฝึกอาชีพตะรุเตา เนื่องจากเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร และยารักษาโรค นักโทษเจ็บป่วยล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ผู้คุมและนักโทษจำนวนหนึ่งจึงได้ออกปล้นสะดมเรือสินค้าที่ผ่านไปมาในน่านน้ำบริเวณช่องแคบมะละกา จนทำให้เรือสินค้าไม่กล้าล่องเรือผ่านมาในบริเวณนั้น ในปี พ.ศ.2489 รัฐบาลอังกฤษซึ่งปกครองมลายูอยู่ในขณะนั้นได้ขออนุญาตจากรัฐบาลไทยในการส่งกองกำลังเข้าปราบปรามโจรสลัดตะรุเตาจนสำเร็จ ต่อมากรมราชทัณฑ์ได้ประกาศยกเลิกนิคมฝึกอาชีพตะรุเตา และหลังจากนั้นเกาะ ตะรุเตาก็ถูกทิ้งร้างเป็นเวลา 26 ปี จนกระทั่งวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2517 กรมป่าไม้ในขณะนั้น ได้ประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติตะรุเตาขึ้น โดยนับเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย
สถานที่น่าสนใจบนเกาะตะรุเตา
กิจกรรมบนเกาะตะรุเตา
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ จากที่ทำการอุทยานฯ บริเวณอ่าวพันเตมะละกามีเส้นทางเดินเท้าผ่านป่าดงดิบไปอ่าวตะโละวาว ระยะทาง 12 กิโลเมตร สองข้างทางสภาพเป็นป่าดงดิบหนาทึบ ร่มรื่นด้วยไม้นานาพรรณ มีสัตว์ป่า เช่น หมูป่า กระจง และนกน่าสนใจหลายชนิด โดยเฉพาะนกเงือกที่พบได้บ่อย
อีกเส้นทางหนึ่งไปอ่าวจาก อ่าวเมาะและจนถึงอ่าวสน ระยะทาง 8 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จะผ่านป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ และยังเหมาะแก่การดูนกเช่นนกเงือก นกแซงแซว
เส้นทางล่องเรือรอบเกาะ เพื่อศึกษาธรรมชาติแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยอุทยานฯจะจัดเรือบริการพร้อมเจ้าหน้าที่นำทางชมหาดทรายต่าง ๆ เริ่มจากแวะดูนกที่อ่าวจาก ชมหาดทรายขาวและยาวที่สุดบนเกาะตะรุเตาที่อ่าวสน ศึกษาร่องรอยประวัติศาสตร์ที่อ่าวตะโละอุดัง ชมธรรมชาติที่อ่าวตะโละวาว แวะดำน้ำและเที่ยวป่าชายเลน ใช้เวลาในการล่องเรือ 1 วัน ผู้สนใจติดติดได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวบนเกาะ
ที่พักอุทยานแห่งชาติตะรุเตา
ในเขตอุทยานฯ มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยวบนเกาะตะรุเตาและเกาะอาดัง สอบถามรายละเอียดได้ที่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760, www.dnp.go.th หรือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติตะรุเตา บริเวณท่าเรือปากบารา ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล 91110โทร. 0 7478 3485, 0 7478 3597, 0 7478 1285 หรือ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่ ต.ต.1 (อ่าวพันเตมะละกา) บนเกาะตะรุเตา โทร. 0 7472 9002-3
การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา และหมู่เกาะต่าง ๆ ในพื้นที่อุทยานฯ ท่าเรือปากบารา อยู่ห่างจากอำเภอละงูประมาณ 8 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ปากคลองละงู ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู เป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้เกาะตะรุเตามากที่สุด ระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตร และใกล้ท่าเรือเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
สถานที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา
เกาะตะรุเตา นับเป็นเกาะใหญ่ที่สุดของอุทยาน มีพื้นที่ 152 ตารางกิโลเมตร สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาที่มีสภาพเป็นป่าดิบชื้นซึ่งยังมีพรรณไม้และสัตว์ป่าที่น่าสนใจจำนวนไม่น้อย และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นป่าชายเลน นอกจากนี้ยังมีอ่าวน้อยใหญ่ที่มีชายหาดสวยงามอยู่หลายแห่ง และในท้องทะเลของเกาะตะรุเตายังมีพันธุ์ปลามากมายหลายชนิดรวมทั้งเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ 4 ชนิด คำว่า “ตะรุเตา” นี้ เพี้ยนมาจาก คำว่า “ตะโละเตรา” ในภาษามลายูแปลว่า มีอ่าวมาก
นอกจากสภาพธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แล้ว เกาะตะรุเตายังมีประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ โดยในปี พ.ศ. 2479 รัฐบาลมีนโยบายให้กรมราชทัณฑ์จัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งนิคมฝึกอาชีพ และเป็นสถานที่กักกันนักโทษ เกาะตะรุเตาซึ่งอยู่ห่างไกลจากฝั่ง เต็มไปด้วยปัจจัยทางธรรมชาติที่เป็นอุปสรรคต่อการหลบหนี ก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่จัดตั้งนิคมดังกล่าว มีการจัดสร้างอาคารที่ทำการ บ้านพักของผู้คุม เรือนนอนนักโทษ และโรงฝึกอาชีพขึ้นที่อ่าวตะโละวาว และอ่าว ตะโละอุดัง ในปี พ.ศ.2481 นักโทษชุดแรกจำนวน 500 คนก็ได้เดินทางมายังตะรุเตา และทยอยเข้ามาอีกเรื่อยๆ จนมีนักโทษเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 3,000 คน และในช่วงปี พ.ศ.2482 รัฐบาลได้ส่งนักโทษการเมือง 70 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนักโทษจากเหตุการณ์กบฏบวรเดชและกบฏนายสิบ มากักบริเวณอยู่ที่อ่าวตะโละอุดัง
ในปี พ.ศ.2484 สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุบัติขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อนิคมฝึกอาชีพตะรุเตา เนื่องจากเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร และยารักษาโรค นักโทษเจ็บป่วยล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ผู้คุมและนักโทษจำนวนหนึ่งจึงได้ออกปล้นสะดมเรือสินค้าที่ผ่านไปมาในน่านน้ำบริเวณช่องแคบมะละกา จนทำให้เรือสินค้าไม่กล้าล่องเรือผ่านมาในบริเวณนั้น ในปี พ.ศ.2489 รัฐบาลอังกฤษซึ่งปกครองมลายูอยู่ในขณะนั้นได้ขออนุญาตจากรัฐบาลไทยในการส่งกองกำลังเข้าปราบปรามโจรสลัดตะรุเตาจนสำเร็จ ต่อมากรมราชทัณฑ์ได้ประกาศยกเลิกนิคมฝึกอาชีพตะรุเตา และหลังจากนั้นเกาะ ตะรุเตาก็ถูกทิ้งร้างเป็นเวลา 26 ปี จนกระทั่งวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2517 กรมป่าไม้ในขณะนั้น ได้ประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติตะรุเตาขึ้น โดยนับเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย
สถานที่น่าสนใจบนเกาะตะรุเตา
- อ่าวพันเตมะละกา มีชายหาดยาวขาวสะอาด เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตา และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนหนึ่งจัดเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของเกาะตะรุเตา อ่าวพันเตมะละกายังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม และจากอ่าวพันเตมะละกา ยังสามารถเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวผาโต๊ะบู ได้อีกด้วย
- อ่าวจาก เป็นอ่าวเล็กๆ ติดต่อกับอ่าวพันเตมะละกา บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะต่อการพักผ่อน
- อ่าวเมาะและ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 4 กิโลเมตร มีหาดทรายขาวสะอาด และดงมะพร้าวสวยงาม เงียบสงบ มีบังกะโลเหมาะสำหรับพักผ่อน เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
- อ่าวสน ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 8 กิโลเมตร เป็นอ่าวรูปโค้งที่มีหาดทรายสลับกับหาดหิน และเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเล มีจุดกางเต็นท์ บริการอาหารและเครื่องดื่ม มีน้ำตกขนาดเล็กคือ น้ำตกลูดู และน้ำตกโละโป๊ะ เหมาะสำหรับเดินป่าศึกษาธรรมชาติ
- อ่าวตะโละวาว อยู่ทิศตะวันออกของเกาะ เป็นจุดที่สามารถชมดวงอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามอีกมุมหนึ่ง เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ ตต.1 (ตะโละวาว) พื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ตั้งนิคมฝึกอาชีพสำหรับนักโทษกักกันและนักโทษอุกฉกรรจ์ ปัจจุบันทางอุทยานฯได้จำลองอาคารสถานที่ที่เคยอยู่ในนิคมฝึกอาชีพ เช่น บ้านพักของผู้คุม เรือนนอนของนักโทษ โรงฝึกอาชีพ หลุมศพ 700 ศพ ไว้ในบริเวณดังกล่าว
- อ่าวตะโละอุดัง อยู่ทางทิศใต้ของเกาะ ห่างจากเกาะลังกาวี 8 กิโลเมตร จุดเด่นคือ มีหินซีกขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสัญลักษณ์ด้านหน้าอ่าว มีสะพานสำหรับเรือจอด และเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯที่ ตต.2 (ตะโละอุดัง) ในอดีตเคยเป็นที่กักกันนักโทษการเมือง กลุ่มนักโทษจากเหตุการณ์กบฏบวรเดช และกบฏนายสิบ
- น้ำตกลูดู เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีความสวยงาม อยู่ห่างจากอ่าวสนประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งจากบริเวณอ่าวสนมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปยังน้ำตกลูดู
- ถ้ำจระเข้ เป็นถ้ำที่มีความลึกประมาณ 300 เมตร ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงามและมีลักษณะแตกต่างกันไป การเดินทางไปถ้ำจระเข้ต้องนั่งเรือหางยาวไปตามคลองพันเตมะละกา ซึ่งอุดมไปด้วยป่าชายเลนที่มีไม้โกงกางจำนวนมากตลอดสองฝั่งคลองโดยใช้เวลาล่องเรือประมาณ 20 นาทีและใช้เวลาชมถ้ำประมาณหนึ่งชั่วโมง ติดต่อได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ ผู้ที่จะเที่ยวชมภายในตัวถ้ำควรนำไฟฉายไปด้วย
- จุดชมวิว “ผาโต๊ะบู” เป็นหน้าผาสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 60 เมตร เส้นทางเดินขึ้นไปตามแนวป่าดิบแล้ง ใช้เวลาเดินขึ้นจุดชมวิวประมาณ 20 นาที อยู่ด้านหลังที่ทำการอุทยานฯ เป็นจุดชมทิวทัศน์ของเกาะบริเวณชายหาด
- อ่าวพันเตมะละกา จะเห็นเกาะบุโหลน เกาะกลาง เกาะไข่ เกาะอาดัง เกาะราวี หมู่เกาะเภตรา และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกมุมหนึ่ง
กิจกรรมบนเกาะตะรุเตา
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ จากที่ทำการอุทยานฯ บริเวณอ่าวพันเตมะละกามีเส้นทางเดินเท้าผ่านป่าดงดิบไปอ่าวตะโละวาว ระยะทาง 12 กิโลเมตร สองข้างทางสภาพเป็นป่าดงดิบหนาทึบ ร่มรื่นด้วยไม้นานาพรรณ มีสัตว์ป่า เช่น หมูป่า กระจง และนกน่าสนใจหลายชนิด โดยเฉพาะนกเงือกที่พบได้บ่อย
อีกเส้นทางหนึ่งไปอ่าวจาก อ่าวเมาะและจนถึงอ่าวสน ระยะทาง 8 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จะผ่านป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ และยังเหมาะแก่การดูนกเช่นนกเงือก นกแซงแซว
เส้นทางล่องเรือรอบเกาะ เพื่อศึกษาธรรมชาติแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยอุทยานฯจะจัดเรือบริการพร้อมเจ้าหน้าที่นำทางชมหาดทรายต่าง ๆ เริ่มจากแวะดูนกที่อ่าวจาก ชมหาดทรายขาวและยาวที่สุดบนเกาะตะรุเตาที่อ่าวสน ศึกษาร่องรอยประวัติศาสตร์ที่อ่าวตะโละอุดัง ชมธรรมชาติที่อ่าวตะโละวาว แวะดำน้ำและเที่ยวป่าชายเลน ใช้เวลาในการล่องเรือ 1 วัน ผู้สนใจติดติดได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวบนเกาะ
ที่พักอุทยานแห่งชาติตะรุเตา
ในเขตอุทยานฯ มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยวบนเกาะตะรุเตาและเกาะอาดัง สอบถามรายละเอียดได้ที่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760, www.dnp.go.th หรือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติตะรุเตา บริเวณท่าเรือปากบารา ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล 91110โทร. 0 7478 3485, 0 7478 3597, 0 7478 1285 หรือ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่ ต.ต.1 (อ่าวพันเตมะละกา) บนเกาะตะรุเตา โทร. 0 7472 9002-3
การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา และหมู่เกาะต่าง ๆ ในพื้นที่อุทยานฯ ท่าเรือปากบารา อยู่ห่างจากอำเภอละงูประมาณ 8 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ปากคลองละงู ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู เป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้เกาะตะรุเตามากที่สุด ระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตร และใกล้ท่าเรือเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
เกาะหินซ้อน เป้นเกาะบริวารของหมู่เกาะดง อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล
มีลักษณะพิเศษ คือ กองหินกลางทะเล ก้อนหินยักษ์่ 2 ก้อนวางซ้อนกันอยู่อย่าง
น่าอัศจรรย์ สวยงามและแปลกตา ทำให้เกาะหินซ้อน กลายเป็นภาพสัญลักษณ์
ของจังหวัดสตูล ไปอีกแห่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวทั่งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาเที่ยวชมทิวทัศน์และภาพมหัศจรรย์ของหินซ้อน และลงดำน้ำชมปะการัง ปลาและสัตว์ทะเลนานา
ชนิดรอบเกาะหินซ้อน นอกจากนี้ เกาะหินซ้อน ยังมีปลาชุกชุมทำให้นักตก
ปลาทั้งหลายอยากมาเยือนแนวปะการังมีพื้นที่กว้างกว่าแต่ไม่หนาแน่นเ ระดับน้ำไม่ลึกมาก บริเวณด้านทิศใต้มีระดับน้ำที่ลึกกว่า มีปะการังแข็งจำพวกเขากวางขนาดใหญ่กระจายอยู่เป็นหย่อมๆ หลักๆ แล้วจะเป็นปะการังอ่อน ดาวขนนก และกอดอกไม้ทะเล เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีปะการังที่สวยงาม
การเดินทางไปเกาะหินซ้อน จังหวัดสตูลเหมาเรือหางยาวจากเกาะหลีเป๊ะ โดยสามารถเดินทางแวะเที่ยวเกาะข้างเคียงเกาะหินซ้อนเป็นหนึ่งใน 50 เกาะของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา อุทยานที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และความสวยงามของธรรมชาติทางทะเล รวมทั้งเกาะที่เป็นป่าดิบเขียวขจี อ่าวที่มีหาดทรายขาว อุดมไปด้วยสัตว์ทะเล
การเดินทางไป เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล
จากกรุงเทพฯใช้เส้นทางเพชรเกษม จากกรุงเทพฯ มาทางพระราม 2 -ปากท่อ - เพชรบุรี ตรงดิ่งมาสุราษฏร์ธานี - ทุ่งสง เลี้ยวไปตรัง และ ตรงไปทาง - ย่านตาขาว ออก - ปากบารา จากสุราษฏร์ธานี 3 ชั่วโมงครึ่งถึงท่าเรือปากบารา แล้วลงเรือไปเกาะหลีเป๊ะ จากจังหวัดสตูลใช้ทางหลวงหมายเลข 406 แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทาง
หลวงหมายเลข 416 ก่อนถึง อ.ละงู แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 4052 ไปท่าเรือปากบารา
มีลักษณะพิเศษ คือ กองหินกลางทะเล ก้อนหินยักษ์่ 2 ก้อนวางซ้อนกันอยู่อย่าง
น่าอัศจรรย์ สวยงามและแปลกตา ทำให้เกาะหินซ้อน กลายเป็นภาพสัญลักษณ์
ของจังหวัดสตูล ไปอีกแห่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวทั่งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาเที่ยวชมทิวทัศน์และภาพมหัศจรรย์ของหินซ้อน และลงดำน้ำชมปะการัง ปลาและสัตว์ทะเลนานา
ชนิดรอบเกาะหินซ้อน นอกจากนี้ เกาะหินซ้อน ยังมีปลาชุกชุมทำให้นักตก
ปลาทั้งหลายอยากมาเยือนแนวปะการังมีพื้นที่กว้างกว่าแต่ไม่หนาแน่นเ ระดับน้ำไม่ลึกมาก บริเวณด้านทิศใต้มีระดับน้ำที่ลึกกว่า มีปะการังแข็งจำพวกเขากวางขนาดใหญ่กระจายอยู่เป็นหย่อมๆ หลักๆ แล้วจะเป็นปะการังอ่อน ดาวขนนก และกอดอกไม้ทะเล เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีปะการังที่สวยงาม
การเดินทางไปเกาะหินซ้อน จังหวัดสตูลเหมาเรือหางยาวจากเกาะหลีเป๊ะ โดยสามารถเดินทางแวะเที่ยวเกาะข้างเคียงเกาะหินซ้อนเป็นหนึ่งใน 50 เกาะของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา อุทยานที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และความสวยงามของธรรมชาติทางทะเล รวมทั้งเกาะที่เป็นป่าดิบเขียวขจี อ่าวที่มีหาดทรายขาว อุดมไปด้วยสัตว์ทะเล
การเดินทางไป เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล
จากกรุงเทพฯใช้เส้นทางเพชรเกษม จากกรุงเทพฯ มาทางพระราม 2 -ปากท่อ - เพชรบุรี ตรงดิ่งมาสุราษฏร์ธานี - ทุ่งสง เลี้ยวไปตรัง และ ตรงไปทาง - ย่านตาขาว ออก - ปากบารา จากสุราษฏร์ธานี 3 ชั่วโมงครึ่งถึงท่าเรือปากบารา แล้วลงเรือไปเกาะหลีเป๊ะ จากจังหวัดสตูลใช้ทางหลวงหมายเลข 406 แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทาง
หลวงหมายเลข 416 ก่อนถึง อ.ละงู แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 4052 ไปท่าเรือปากบารา
เกาะหลีเป๊ะ อยู่ทางตอนใต้ของเกาะอาดัง และเป็นที่อยู่อาศัยของชาวน้ำประมาณ 500 คน ซึ่งกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เกาะหลีเป๊ะอยู่บนเกาะลันตาในจังหวัดกระบี่ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการประมง และการเพาะปลูกผัก ปลูกข้าวอยู่บนเกาะหลีเป๊ะ
เกาะหลีเป๊ะ อยู่นอกเขตอำนาจของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ดังนั้นจึงได้รับการยกเว้นจากกฎหมายของอุทยานแห่งชาติ เกาะหลีเป๊ะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ ปัญหาขยะและการอนุรักษ์สัตว์มากขึ้นตามไปด้วย หนึ่งในเหตุผลที่จำนวนของนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวที่นี่เพิ่มมากขึ้นก็คือ รายการ "Tarutao Survivor" ซึ่งเป็นรายการที่นำเสนอการใช้ชีวิตบนหมู่เกาะตะรุเตา แบบเรียลลิตี้โชว์
เกาะหลีเป๊ะ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายอุทยาน ดังนั้นจึงมีการจำกัดสถานที่สำคัญไว้ส่วนหนึ่งบนเกาะอาดัง บังกะโลหลายแห่งเริ่มก่อสร้างขึ้นในหมู่บ้านหลักๆ ตามแนวชายฝั่งตะวันออกและหาดพัทยา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะหลีเป๊ะ นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารและร้านค้าอีก 2 - 3 แห่งอีกด้วย คุณ สามารถเดินไป-มาระหว่างหมู่บ้านกับหาดพัทยา โดยใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาทีเท่านั้น หรือใช้บริการของเรือหางยาวที่บริการผู้โดยสาร เสียค่าใช้จ่ายคนละ 30 บาท
มีแนวปะการังอยู่ด้านใต้ของเกาะเล็กๆ และอ่าวเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ชาวน้ำจะคอยให้บริการเช่าเรือเพื่อท่องเที่ยวไปยังเกาะรอบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยแนวปะการังมากมาย
หาดพัทยา เป็นหาดที่มีความสวยงามที่สุดใน 2 หาดหลักๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่หน้าหมู่บ้านชาวเล ซึ่งเป็นท่าที่ใช้จอดเรือเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีเกาะเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้าน หรือเรียกว่า "เกาะกระ" เป็นเกาะที่ได้รับการอนุรักษ์แนวปะการังไว้อย่างดั เหมาะสำหรับการดำน้ำชมความสวยงามของแนวปะการัง นอกจากนี้ คุณยังสามารถที่จะว่ายน้ำ หรือเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานอีกด้วย
คุณสามารถที่จะตั้งแคมป์ที่นี่ได้ หรืออาจจะเช่ากระท่อมจากชาวน้ำ ในราคาเพียง 200 - 300 บาท ต่อคืนเท่านั้น หรือคุณอาจจะเดินทางไปพักตามบังกะโลต่างๆ ที่มาเปิดให้บริการตลอดแนวชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกก็ย่อมได้ชายหาดบนเกาะหลีเป๊ะ อุดมไปด้วย ท้องทะเลที่ใสสะอาด เกาะที่เงียบสงบ และน้ำที่ตื้นเขิน โดย เกาะหลีเป๊ะ มีหาดที่สำคัญๆ อยู่ 4 หาดคือ
โดยแท้จริงแล้ว อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาจะเปิดเฉพาะเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนพฤษภาคม นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในช่วงฤดูมรสุมจะสามารถเข้าพักในที่พักที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาได้ แต่ท่านจะต้องนำอาหารมาเองจากบนเกาะ หรือไม่ก็พักกับชาวน้ำบนเกาะหลีเป๊ะ
คุณสามารถจองบังกะโลที่อุทยานฯ ได้ที่ ออฟฟิศของอุทยานบริเวณท่าเทียบเรือปากบารา (โทร. 074-783-485) แต่พนักงานที่นี่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ หรือจองผ่านกรมป่าไม้ (โทร. 0-2561-4292 ถึง 3) สำหรับเกาะตะรุเตาและเกาะอาดัง คุณอาจจะต้องนำอาหารมาด้วย เนืองจากอาหารในอุทยาน ค่อนข้างมีราคาแพงเลยทีเดียว
เกาะหลีเป๊ะ อยู่นอกเขตอำนาจของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ดังนั้นจึงได้รับการยกเว้นจากกฎหมายของอุทยานแห่งชาติ เกาะหลีเป๊ะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ ปัญหาขยะและการอนุรักษ์สัตว์มากขึ้นตามไปด้วย หนึ่งในเหตุผลที่จำนวนของนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวที่นี่เพิ่มมากขึ้นก็คือ รายการ "Tarutao Survivor" ซึ่งเป็นรายการที่นำเสนอการใช้ชีวิตบนหมู่เกาะตะรุเตา แบบเรียลลิตี้โชว์
เกาะหลีเป๊ะ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายอุทยาน ดังนั้นจึงมีการจำกัดสถานที่สำคัญไว้ส่วนหนึ่งบนเกาะอาดัง บังกะโลหลายแห่งเริ่มก่อสร้างขึ้นในหมู่บ้านหลักๆ ตามแนวชายฝั่งตะวันออกและหาดพัทยา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะหลีเป๊ะ นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารและร้านค้าอีก 2 - 3 แห่งอีกด้วย คุณ สามารถเดินไป-มาระหว่างหมู่บ้านกับหาดพัทยา โดยใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาทีเท่านั้น หรือใช้บริการของเรือหางยาวที่บริการผู้โดยสาร เสียค่าใช้จ่ายคนละ 30 บาท
มีแนวปะการังอยู่ด้านใต้ของเกาะเล็กๆ และอ่าวเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ชาวน้ำจะคอยให้บริการเช่าเรือเพื่อท่องเที่ยวไปยังเกาะรอบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยแนวปะการังมากมาย
หาดพัทยา เป็นหาดที่มีความสวยงามที่สุดใน 2 หาดหลักๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่หน้าหมู่บ้านชาวเล ซึ่งเป็นท่าที่ใช้จอดเรือเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีเกาะเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้าน หรือเรียกว่า "เกาะกระ" เป็นเกาะที่ได้รับการอนุรักษ์แนวปะการังไว้อย่างดั เหมาะสำหรับการดำน้ำชมความสวยงามของแนวปะการัง นอกจากนี้ คุณยังสามารถที่จะว่ายน้ำ หรือเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานอีกด้วย
คุณสามารถที่จะตั้งแคมป์ที่นี่ได้ หรืออาจจะเช่ากระท่อมจากชาวน้ำ ในราคาเพียง 200 - 300 บาท ต่อคืนเท่านั้น หรือคุณอาจจะเดินทางไปพักตามบังกะโลต่างๆ ที่มาเปิดให้บริการตลอดแนวชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกก็ย่อมได้ชายหาดบนเกาะหลีเป๊ะ อุดมไปด้วย ท้องทะเลที่ใสสะอาด เกาะที่เงียบสงบ และน้ำที่ตื้นเขิน โดย เกาะหลีเป๊ะ มีหาดที่สำคัญๆ อยู่ 4 หาดคือ
- หาดพัทยา อยู่ทางตอนใต้ ซึ่งเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมาก
แนะนำที่พักบนหาดพัทยา เกาะหลีเป๊ะ: Bundhaya Resort, Sita Beach Resort & Spa, Z-Touch Resort,Green View Beach Resort - หาดซันไรท์ อยู่ทางทิศตะวันออก ใกล้ๆ กับหมู่บ้านชาวเล
แนะนำที่พักบนหาดซันไรท์ เกาะหลีเป๊ะ: Idyllic Concept Resort, Castaway Beach Resort, Anda Resort,Ricci House - หาดคาร์มา อยู่ทางตอนเหนือ ซึ่งหันหน้าเข้าเกาะอาดัง, Mountain Resort Koh Lipe, Lipe Power Beach Resort
- หาดซันเซ็ท อยู่ทางทิศตะวันตก หันหน้าเข้ารับแสงอาทิตย์ ตามชื่อของหาด
โดยแท้จริงแล้ว อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาจะเปิดเฉพาะเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนพฤษภาคม นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในช่วงฤดูมรสุมจะสามารถเข้าพักในที่พักที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาได้ แต่ท่านจะต้องนำอาหารมาเองจากบนเกาะ หรือไม่ก็พักกับชาวน้ำบนเกาะหลีเป๊ะ
คุณสามารถจองบังกะโลที่อุทยานฯ ได้ที่ ออฟฟิศของอุทยานบริเวณท่าเทียบเรือปากบารา (โทร. 074-783-485) แต่พนักงานที่นี่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ หรือจองผ่านกรมป่าไม้ (โทร. 0-2561-4292 ถึง 3) สำหรับเกาะตะรุเตาและเกาะอาดัง คุณอาจจะต้องนำอาหารมาด้วย เนืองจากอาหารในอุทยาน ค่อนข้างมีราคาแพงเลยทีเดียว